ผู้กำกับ คุณ สุรัสวดี เชื้อชาติ หรือ "มาม่าบลูส์"
ผู้อำนวยการสร้าง คุณ บุญชัย เบญจรงคกุล ( คนค้นคน ดูย้อนหลัง )
มิติเชิงซ้อนใน.."ขุนรองปลัดชู"
หนังเรื่อง “ขุนรองปลัดชู” นอกจากจากมีประเด็นน่าชื่นชมที่หลากหลายแล้ว ยังมีแง่มุมมิติซ้อนที่น่าสนใจศึกษาติดตามเช่นกันครับ
แง่มุมที่ควรชื่นชมก็คือการที่ทีมผู้สร้างเพียรสืบเสาะค้นหาและหยิบยกเรื่องราวของวีรชนคนกล้าในอดีตที่ถูกหลงลืมไปในหน้าประวัติศาสตร์ กลับขึ้นมาให้ชนรุ่นหลังได้รู้เห็นในวีรกรรมหาญกล้าเสียสละอีกครั้งบนจอภาพยนตร์
| สุรัสวดี เชื้อชาติ หรือ "มาม่าบลูส์" |
การประชาสัมพันธ์ของหนังเรื่องนี้ก็สื่อสารออกมาสู่สาธารณะได้ดีเช่นกัน จนอาจกล่าวได้ว่า หน้าหนังได้กลายเป็น Talk of the Town ขึ้นในสังคมในระดับหนึ่ง
เป็นหัวข้อในการสนทนาในห้องเฉลิมไทยในเว็บไซต์พันทิพ บัตรชมภาพยนตร์ที่ฉายที่ โรงหนังสกาล่าเต็มทุกรอบ
แรกเริ่มเดิมทีที่ทราบว่ากำลังจะมีหนังเรื่องนี้ออกฉายโดยเปิดให้ผู้สนใจสมัครชมฟรีที่โรงภาพยนตร์แบบจำกัดวงนั้น ก็เป็นที่น่าสนใจใคร่รู้ครับว่าเป็นหนังของใคร? เหตุเพราะการสร้างภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์สักเรื่องหนึ่ง จะอย่างไรก็จำต้องใช้สอยงบประมาณจำนวนไม่น้อย การสร้างแล้วนำออกมาฉายโดยไม่คิดราคาค่างวดนั้น ถ้าไม่ใช่หนังที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ เช่นเพื่อการส่งเสริมด้านวัฒนธรรมหรือประวัติศาสตร์แล้ว ก็ยากที่จะมีโอกาสได้เห็นที่เปิดกันให้ชมฟรี ซึ่งประเด็นนี้ มาทราบในภายหลังว่า มีบุคคลในภาคเอกชนให้ทุนสนับสนุนการสร้าง ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเกิดขึ้นได้
ต่อมาทราบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มีกำหนดฉายทางฟรีทีวี ช่องไทยพีบีเอส พร้อมมีสกู๊ปรายการที่นำเสนอการสนทนาแลกเปลี่ยนมุมมองของนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการที่มีชื่อเสียงกลุ่มหนึ่งออกมานำเสนอ จึงตระหนักชัดว่า หนังเรื่องนี้คงมิได้วัตถุประสงค์ที่จะมุ่งหมายแสวงหากำไรแต่อย่างใด และน่าที่จะมาจากแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เกิดผลงานภาพยนตร์ให้คนไทยได้รับชมและรับรู้กันมากกว่า
จะว่าไป นอกจากความรักชาติและเสียสละของวีรชนที่ถูกลืมแล้ว หนังเรื่องนี้ยังมีมิติเนื้อหาที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นครับ ซึ่งแน่นอนย่อมต้องขึ้นอยู่กับมุมมอง,ทัศนคติ และการตีความของแต่ละบุคคลเป็นองค์ประกอบด้วย
ผู้เขียนมีโอกาสได้ชมหนังเรื่องนี้ทางช่องไทยพีบีเอสในคืนวันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ผ่านมา และเกิดความรู้สึกสนใจตั้งแต่เริ่มเรื่อง จากการที่ได้เห็นภาพที่หนังนำเสนอถึงความวุ่นวายทางการเมืองภายในแผ่นดินอยุธยาตอนปลายในรูปแบบภาพยนตร์ แทนที่จะเป็นจากหนังสือประวัติศาสตร์นอกชั้นเรียนที่เคยอ่าน ได้เห็นภาพฉากเบื้องหลังการประชุมลับ ตลอดจนรูปแบบและวิธีการสนทนาหารือแผนบริหารจัดการอำนาจในช่วงเปลี่ยนผ่าน
เห็นภาพการกุมตัวเจ้าสามกรมที่จบลงด้วยการถูกคลุมผ้าแดงและสำเร็จด้วยท่อนจันทร์ ซึ่งเป็นฉากที่ไม่ใคร่ปรากฏให้เห็นนักในภาพยนตร์ประวัติไทยทั่วไป แต่หนังก็สามารถพาเราไปพบกับภาพนั้นได้โดยผ่านการผูกเรื่องให้ขุนรองปลัดชูมีโอกาสได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์คราวนั้นด้วย
เห็นโครงเรื่องที่สะท้อนถึงความแตกแยก อ่อนแอ แก่งแย่งชิงดี ความโหดเหี้ยมอำมหิต ในช่วงเวลาวิปโยค โดยการมองผ่านสายตาขุนรองปลัดชูที่ติดสอยตามเจ้านายมาแต่วิเศษไชยชาญ ซึ่งเป็นมุมมองการเมืองสมัยปลายอยุธยาที่พอหาอ่านได้บ้างในหน้าหนังสือและเว็บไซต์ประวัติศาสตร์ แต่ก็หาชมได้ยากยิ่งอีกเช่นกันในหนังไทยทั่วไป
ได้เห็นมุมมองและการตีความประวัติศาสตร์ของผู้สร้างผ่านสายตาและห้วงอารมณ์ความคิดช่วงสุดท้ายของขุนรองปลัดชูว่า ถึงยามวิกฤติของชาติบ้านเมือง ที่ยากจะหาผู้ปกครองที่เสียสละเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง สุดท้ายคงมีก็แต่ประชาชนที่จำต้องจับกลุ่มรวมก้อน หยิบหอกจับดาบขึ้นต่อสู้ ยอมสละแม้ชีวิต ลุกขึ้นปกป้องบ้านเมือง
สิ่งที่ขุนรองปลัดชูในหนัง “คิดคำนึง” ในห้วงลมหายใจสุดท้ายขณะนอนจมกองเลือดรอชีพดับสูญอยู่ในพื้นน้ำนั้น เชื่อว่าผู้ที่ได้ชมก็คงเข้าใจเหมือนๆกันกระมังครับว่า คือความผิดหวังอันสาหัสที่หลงคิดไปว่าทัพจากกรุงศรีอยุธยาที่ร้องขอไปนั้น จะมาหนุนช่วยรบขับไล่ข้าศึกได้ทันกาล สุดท้ายจึงต้องเจ็บปวดจนเสียยิ่งกว่าต้องคมหอกคมดาบทหารพม่า เพราะแท้จริงหาใช่ทัพอยุธยามาไม่ทันศึกจึงมิได้เข้าร่วมสมรภูมิ แต่กลับเป็นด้วยเห็นว่ากำลังหนุนมิอาจสู้ทัพข้าศึกได้จึงชลอทัพไว้ไม่เข้าสมทบ ได้แต่ใช้สายตาที่ไม่ได้บ่งบอกความหมายใดๆส่งทั้งสี่ร้อยชีวิตที่ทิ้งแต่เพียงร่างและวิญญาณไว้ที่ชายทะเล
หลังจากชมภาพยนตร์ ผู้ชมโดยมากชื่นชอบประทับใจกับหนังเรื่องนี้เช่นเดียวกับผู้เขียนที่ชื่นชอบยิ่งโดยเฉพาะในเชิงศิลปะ ทั้งยังมีแง่มุมอีกบางประเด็นที่ยังให้ต้องกลับไปคิดตาม เช่นดียวกับผู้ชมบางท่านที่มุ่งเน้นมุมมองในเชิงศิลปะ บางท่านมองในแง่มุมประวัติศาสตร์ ขณะที่บางท่านก็มองในแง่มุมการเมืองทั้งประวัติศาสตร์การเมือง และการเมืองร่วมสมัย ทั้งในเชิงวิเคราะห์และในเชิงตั้งข้อสังเกต
เช่นข้อสังเกตในประเด็นที่สื่อว่า ในยามบ้านเมืองระส่ำระสาย ประชาชนที่เป็นผู้เสียสละและลุกต่อสู้นั้น แท้จริงควรจะสู้อย่างไร และสู้เพื่อใคร
เลือกจะมีจุดจบทั้งในทางส่วนตัวและส่วนบ้านเมืองในแบบขุนรองปลัดชู หรือแบบไหน?
หลังจากชมภาพยนต์เรื่องขุนรองปลัดชูจบ ผู้เขียนนึกใคร่รู้ว่าจะมีหนังในชุดวีรชนคนกล้าที่ถูกประวัติศาสตร์ลืมอื่นใดอีกหรือไม่ที่จะได้รับการหยิบยกนำมาสร้างเป็นลำดับต่อๆไป
ถ้ามี ก็ย่อมถือว่าน่าสนใจติดตามครับว่า จะสร้างออกมาในดีเหมือนผลงานเรื่องแรกนี้หรือไม่ และจะมีมิติมุมมองสะท้อนผ่านสายวีรชน ถึงประชาชนผู้รับสารต่อไปอย่างไร?
ขอขอบคุณ ผู้เปิดโลกทรรศน์ของข้าพเจ้า Thai PBS คุณ Thepchai Yong
Thai PBS ถกหนังเห็นคน วีรชนคนถูกลืม กูขุนรองปลัดชู
BB picture
ของแถม The Idol on Pantip ;P