วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๔เวลา ๑๓:๐๐:๐๐ น.

| คอลัมน์ ออกแบบประเทศไทย

|
เพราะเป็นคนชอบ "ฟัง" มากกว่า "พูด"
ชอบอยู่ "เบื้องหลัง" มากกว่ายืน "เบื้องหน้า"
ทำให้ "ประภาส ชลศรานนท์" กำหนด "บทบาท" ตัวเองในฐานะนักคิด นักเขียน นักแต่งเพลง ผู้กำกับการแสดง ผู้สร้างสรรค์รายการโทรทัศน์ ผู้ก่อตั้งบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ฯลฯ หลายบทบาทที่ทำ มี "รางวัล" การันตี "ฝีมือ" อาทิ รางวัลบทโทรทัศน์ยอดเยี่ยม ปี ๒๕๒๙จากละครเทวดาตกสวรรค์, รางวัลมิวสิควิดีโอยอดเยี่ยม ปี ๒๕๖๓๐ จากเพลงเร่ขายฝัน, รางวัลละครยอดเยี่ยม ASIAN TELEVISION AWARDS ปี ๒๕๔๒ เรื่องพ่อ, รางวัลเพลงยอดเยี่ยม ปี ๒๕๓๒จากเพลงโลกาโคม่า และล่าสุดรางวัลบุคคลเบื้องหลังแห่งปี ๒๕๕๑จากไนน์เอ็นเตอร์เทน อวอร์ด ฯลฯ
ทว่า "บทบาท" ที่ไม่เป็นทางการ แต่จับต้องได้ในความรู้สึกของใครหลายคนคือ "ผู้สร้างแรงบันดาลใจ"
ในวันที่ "การเมือง" บั่นทอนความรู้สึกคนไทย ไม่มีความหวังกับการเลือกตั้งปี ๒๕๕๔เพราะสังคมถูกแบ่งเป็น "คีย์ต่ำ-คีย์สูง" ชัดเจน
"ประภาส" เทียบบันไดเสียงดนตรีกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง ๕ ปีที่ผ่านมา...
"ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องเพลง แต่เป็นคอนเสิร์ตเลยล่ะ"
เขาเห็นว่าคอนเสิร์ตที่ได้รับความนิยมจาก "คนดู-คนฟัง" หาได้เป็นเวที "อินดอร์" ไม่ หากแต่เป็นเวที "เอ๊าต์ดอร์" เพราะเล่นดังกว่า ลำโพงใหญ่กว่า เล่นเพลงฮิตกว่า ฟังง่าย ฟังชัด
แต่สำหรับ "ประภาส" รู้สึกไม่ชอบ ไม่ว่าจะเปิดการแสดงที่ไหน
"ในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา คนดูไม่รอให้จบเพลง ก็ปรบมือแล้ว จะกระโดดขึ้นไปเล่นเองบ้าง บางครั้งนักดนตรีที่รอคิวอยู่ข้างหลัง ก็ไม่รอให้วงข้างหน้าเปลี่ยนเพลงก่อน ขึ้นมาเล่นกลางคันเลย เพลงจึงไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไร"
เท่าที่สดับตรับฟัง เพลงที่ถูกเลือกมาบรรเลงบนเวทีคอนเสิร์ต โครงสร้างทางดนตรีเป็นของฝรั่ง แต่คนเล่นเป็นคนไทย
"ผมว่าโครงสร้างการเมือง โครงสร้างการเลือกตั้งบ้านเรา ยกมาจากอังกฤษเยอะ เหมือนไม่ได้ออกแบบให้คนบ้านเราฟังจริงๆ"
แม้เคยประสบความสำเร็จในการผสมพันธุ์ดนตรีต่างสัญชาติ ผสานเพลงไทย-ฝรั่งเข้าด้วยกัน โดยจับเอาเพลง "We will rock you" กับ "ลาวกระทบไม้" มา "รีมิกซ์" เพราะมองเห็น "จุดร่วม" ของ "๒ความต่าง" อยู่ที่ "จังหวะร็อค" ก่อนถ่ายทอดผ่านรายการ "คุณพระช่วย" เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมมาแล้ว

|
แต่ในทางการปกครอง "ประภาส" นึกไม่ออกว่าจะ "มิกซ์" นักการเมือง-ประชาชน-ม็อบ บนเวทีเลือกตั้งครั้งนี้ได้อย่างไร เพราะหลายเรื่องฟังแล้วไม่มีทางออก
"อย่างเรื่องการซื้อเสียง ฟังแล้วไม่มีทางออก มันเหมือนกับคำตอบที่ออกมาว่าเราเลือกคนที่ให้เงินเรา ดีกว่าเลือกคนที่ไม่ได้แบ่งเงินให้เราเลย ซึ่งมันเป็นตรรกะที่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณงามความดีเลย เป็นคนละเรื่องกันเลย ทำไมกลายเป็นเรื่องเดียวกันได้"
นั่นอาจเป็นเพราะต่างคนต่างตีความ "คนดี" ไม่เหมือนกัน
เมื่อให้ลองคัดสรร "๑ บทเพลง" เพื่อใช้อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น "นักแต่งเพลงชื่อดัง" บอกว่า "เพลงเฉลียงส่วนใหญ่จะพูดถึงการเปิดใจ ถ้าเราเปิดใจรับสิ่งที่คิดว่าไม่ใช่ได้ นั่นคือชัยชนะใหญ่ ตอนนี้ ๒ ฟาก ,๓ ฟาก, 4 ฟากก็ตาม มันตอกคุณไปแล้วว่า มึงไม่ใช่พวกกูน่ะ ผมคิดว่าเราน่าจะเปลี่ยน ลองฟังเขาดูสัก ๔ วัน แล้วเปลี่ยนมาฟังทางนี้อีก ๔ วัน แล้วเปิดใจว่า เอ๊ะ! อาจจะมีมุมที่เรานึกไม่ถึงก็ได้ แต่ถ้าจะเอาเพลงเฉลียงมาอธิบายเรื่องความแตกแยกในบ้านเรา ผมว่ามันไม่ฟังเลย พูดไปมันก็ด่าก่อน พอไมค์หอนมันก็ขว้างเลย"
ทว่า "ประภาส" คือผู้แต่งเพลง "บ้านเราจะเหมือนเดิม" แล้วโยนออกมาให้สังคมได้ฉุกคิด หลังผ่านปฏิบัติการ "กระชับพื้นที่" ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม๒๕๕๓
ตอนนั้นมันไม่มีอย่างอื่นเลย มันมีแต่ควัน ผมอ่านหนังสือพิมพ์ ๗ ฉบับ นักวิชาการพูดประโยคเดียวกันหมดว่า จากนี้ไปสังคมเราจะไม่เหมือนเดิมแล้ว โอ้ว! ผมก็เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น แต่อย่าพูดได้ไหม ผมรู้ว่าอาจารย์วิเคราะห์ถูก แต่อย่าพูดได้ไหม ยิ่งพูดยิ่งใจเสีย ผมเลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมา เป็นการกอดกัน ลูบหลังกัน"
"ประภาส" ไม่ขอวิจารณ์ชนวนความขัดแย้ง แต่ตั้งคำถามในเชิงเปรียบเทียบกลับมาว่า "ไม่รู้ว่ามันเหมือนลิเวอร์พูล-แมนยูฯ หรือเปล่า?"
"แต่ผมเป็นมนุษย์พันธุ์ที่ว่า ไม่เป็นทั้งแมนยูฯ และลิเวอร์พูล ไม่เฉพาะการเมืองนะ บอลก็เหมือนกัน ผมไม่เป็นพวกใครเลย ผมรู้สึกว่าแมทช์นี้ ผมจะเชียร์แมนยูฯ เพราะผมอยู่ในสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดอยู่ (หัวเราะ) ผมไม่เคยรักเขา ไม่เคยเกลียดเขา แต่คิดว่าต้องเชียร์เพราะเราอยู่ในบ้านเขา"
เมื่อใช้แว่น "โปรดิวเซอร์หนัง" ส่อง "การเมืองไทย" สิ่งที่พบว่ายังขาดอยู่คือ "ผู้นำทางความคิด" ที่ออกมาเสนอชุดความคิด-ชี้แนะว่าคนไทยควรเดินไปทางไหน
"ต้องยอมรับว่าขณะนี้ไม่มีผู้นำที่พูดเรื่องนี้ให้เราฟัง ส่วนใหญ่จะพูดเรื่องโครงการ เรื่องประชานิยม การพูดเรื่องถนน เรื่องไข่ หรือเรื่องอะไรก็ตาม ผมว่าไม่ใช่เรื่องทางความคิด ไม่ใช่การพยุงให้จิตใจ หรืออุดมการณ์ของมนุษย์มันลอยขึ้น"
จึงไม่แปลกที่ในบางช่วง "คนทำหนัง" จะหนีจากการดู "หนังการเมือง" จนไปเจอภาพยนตร์ที่คนไทยควรดูคือ Always หนังจังหวะญี่ปุ่น ที่เดินเรื่องช้าๆ ใช้ความนิ่งในการสื่อสาร แต่สะกดคนดูอยู่
"หนังเรื่องนี้จะพูดถึงตอนสร้างหอโตเกียวปี ๑๙๕๘ พูดถึงความสัมพันธ์ของคน ผมเห็นคนสร้างและคนดูเขารักโตเกียว เขารักบ้านเขา มันมีมุมคิดอยู่ในนั้น พอดูจบ น้ำหูน้ำตาไหลเลย ถ้าคุณไม่ร้องก็เกินไปแล้ว ต่อให้ไม่ใช่คนญี่ปุ่นก็ร้องไห้"
ถือเป็นการบอกใบ้ว่าควรมี "สื่อกลาง" ที่ทำให้ "คนไทย" รู้สึกรักกันมากกว่านี้!
นอกจาก "หู" ของ "นักแต่งเพลง" และ "สายตา" ของ
"โปรดิวเซอร์" แล้ว "ประภาส" ยังมี "มุมคิด" ในฐานะ "สถาปนิก (เก่า)" ต่อ "บ้านหลังนี้"
"มันยังขึ้นได้ชั้นครึ่งเองมั้ง ยังสร้างไม่เสร็จเลยฮะ ยังไม่มีหลังคา ไม่มีอะไรเลย แต่ก่อนบ้านเราหลังไม่ใหญ่ แต่เดี๋ยวนี้เราขยายเพราะโลกมันเปลี่ยนไป"
หลังเลือกตั้ง หากได้ "วัสดุก่อสร้าง" จากหลายโรงงาน รูปร่างของ "บ้าน" จะออกมาอย่างไร?
เขาตอบว่า "มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนะ บ้านเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว มันมาจากผู้รับเหมาหลายคน ตรงนี้ไม่น่าจะใช่ประเด็น ผมว่าทั้งโลกก็เป็นอย่างนี้ แต่คนที่จะทำให้บ้านหลังนี้สมดุลคือคนตัดสินที่มีวิสัยทัศน์ มีอุดมการณ์เข้มแข็ง"
หากต้องออกแบบก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง ท่ามกลางปัญหาและข้อจำกัดมากมาย "สถาปนิก" จะมองภาพรวมเป็นหลัก
"มันไม่มีทางสมบูรณ์แบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เฉลียงอยู่ทางทิศตะวันตก โดนแดดเต็มๆ จะเอาไหม เราจะมีหลังคาไหม แต่ถ้ามีหลังคา จะไม่ได้วิวนะ คือปัญหามันเหมือนปัญหาในประเทศไทย มันมีได้ทุกเรื่อง พอพูดขึ้นมา ๑ เรื่อง ไอ้นี่ได้ ไอ้นั้นไม่ได้ แต่เราจะเลือกอะไรเป็นอันดับ ๑ ถ้าต้องเลือก"
"มันแล้วแต่ว่าโปรเจ็คต์นั้นเป็นของใคร ก็จะคุยกับเจ้าของ เพราะเจ้าของเป็นคนตัดสิน แต่เราจะเสนอมุมมองทุกอย่าง บอกเขา อย่างอาคารเวิร์คพอยท์ ผมอยู่ในฐานะคนตัดสิน แต่บังเอิญเราเป็นคนที่ให้น้ำหนักเรื่องความรู้สึกมากกว่าตัวเลข จึงมีสิ่งที่ทำไปทำไม (วะ) เสียเงินเปล่าๆ แต่ก็ได้อะไรกลับมานะ มันไม่มีบทสรุปตายตัวว่าการทำตึกแถวกี่ห้องจะได้กำไร หรือทำห้างจะได้กี่ยูนิต มันต้องบาลานซ์ มันอยู่ที่ฝีมือคนออกแบบและฝีมือคนตัดสิน"
แต่ในการเลือกนักการเมืองเข้าไปบริหารประเทศ "ประภาส" มักตัดสินใจในนาทีสุดท้ายเสมอ
"ผมตัดสินใจตอนเข้าคูหาแล้ว เพราะตอนนั้นกฎหมายบังคับว่าคุณต้องเลือกแล้ว ซึ่งวิธีการเลือกของผมอาจเหมือนเวลาเลือกกระเบื้องมั้ง โดยตัดข้อที่คิดว่าไม่ใช่ออกไป ส่วนที่เหลืออยู่คือต้องเลือกเขาแล้ว ใช้วิธีมองภาพรวมว่าเราต้องการอะไรในนาทีนั้น ชั่วโมงนั้น สำหรับประเทศเรา ผมก็จะเลือกตรงนั้น เพราะถ้าพูดตรงๆ เราไม่มีทางได้คนที่สมบูรณ์แบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่มีทาง ในโลกนี้ไม่มีอยู่แล้ว แม้แต่มหาตมะคานธี ก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์"
ในการออกแบบ "บ้าน" หลังหนึ่ง "คนตัดสิน" อาจมีเพียง "เจ้าของบ้าน" แต่การออกแบบ "ประเทศไทย" ผ่านการเลือกตั้ง "คนตัดสิน" คือ "ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ"
หากสุดท้าย "คนที่เราเลือก" ไม่ถูก "คนส่วนใหญ่" เลือก...?
"มันเป็นกติกานะผมว่า หรือคนบ้านเราไม่เคารพกติกา กลับมาที่ตัวผมเอง หากสิ่งที่เลือกมาไม่ตรงใจเรา เราก็ต้องยอมรับ เพราะกติกาเป็นอย่างนั้น โครงสร้างเพลงเป็นอย่างนั้นน่ะ คอร์ดมันบังคับอยู่ว่าเป็นคอร์ดนี้ ถ้าผมเป็นคนเล่นกีตาร์ ผมก็ต้องเล่นให้เข้าคอร์ดนั้น เว้นแต่เราจะมาออกแบบคอร์ดกันใหม่ เรียบเรียงเสียงประสานกันใหม่ ซึ่งก็ต้องไปว่าในสภา หากเราจะร่างกฎหมายกันใหม่ แต่ในเมื่อวันนี้ยังไม่มีการเปลี่ยน คนเล่นก็ต้องเล่นตามโครงสร้างดนตรีที่วางกันไว้ ส่วนใครจะเล่นพลิ้ว จะอะไรแค่ไหน ก็ว่ากันไป"
ทั้งหมดนี้คือ "การเมืองแบบประภาส" ที่ถ่ายทอดผ่านเรื่องราวของดนตรี-ภาพยนตร์-บ้าน ก่อนถึงวันที่ประชาชนจะร่วมกันกำหนดแปลนประเทศไทย!!!
ที่มา มติชน ออนไลน์ร่วมออกแบบประเทศไทยกับเราได้ที่ design_thailand@hotmail.com และทางเฟซบุ๊ก ออกแบบประเทศไทย |
ภาพยนตร์เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต ความสัมพันธ์
ความหวัง และความรักของสมาชิกในชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
บนถนนสายที่ ๓ โดยมีกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ช่วงหลัง
สงครามโลกครั้งที่ ๒ (ประมาณคริสตทศวรรษที่ ๑๙๕๐)
เป็นฉากหลัง ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จ
ทั้งรายได้และรางวัลที่ได้รับ โดยผลงานที่โดดเด่นที่สุดคือ
การได้รับรางวัลแจแปนิสอคาเดมี ประจำปี พ.ศ. ๒๕๔๙
๑๒ สาขา จากที่ถูกเสนอชื่อ ๑๔ สาขา เช่น
รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม
รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
รางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
และรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
ย้อนกลับไปในปีโชวะที่ ๓๓ หรือราวปี ค.ศ. ๑๙๘๕ ขณะที่หอ
โตเกียวสร้างใกล้จะเสร็จ ยังมีชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่งตั้งอยู่บนถนนสาย
ที่ ๓ ในเขตยูฮีของมหานครโตเกียว ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยบ้านเรือน
ร้านค้า กรุ่นไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ และยังมีหลากหลายเรื่อง
ราวของหลากหลายผู้คน ที่พำนักอาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนั้น
ซูสุกิ โนริฟูมิ (ชินอิจิ สุสุมิ) เป็นเจ้าของร้านขายอะไหล่รถยนต์ที่ชื่อ
ซูสุกิ ออโต เขาแต่งงานแล้วกับผู้หญิงน่ารักที่ชื่อ โทโมเอะ (ฮิโรโกะ
ยากุชิมารุ) ทั้งคู่มีบุตรชายวัยกำลังซนด้วยกันคนหนึ่ง คือ อิปเป วัน
หนึ่ง ซูสุกิ ออโต มีเหตุให้ต้องต้อนรับสมาชิกใหม่เป็นเด็กสาวชื่อมัต
สุโกะ (มากิ โฮริคิตะ) ผู้ทอดทิ้งบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด มุ่งหน้าสู่
โตเกียว และสมัครเป็นพนักงานของ ซูสุกิ ออโต ด้วยความหวังว่าที่นี่
คงจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่โตที่เธอสามารถฝากอนาคตไว้
ด้วยได้ ดังนั้นมัตสุโกะจึงรู้สึกผิดหวังเหลือกำลังเมื่อพบว่าแท้จริงแล้ว
ซูสุกิ ออโต เป็นเพียงห้องแถวเล็กๆ เท่านั้น
 |  |
|
อีกหนึ่งชีวิตบนนถนนสายที่ ๓ ก็คือ ชากาวะ ริวโนะสุเกะ เขาเป็นเจ้าของร้านขายขนม
ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับ ซูสุกิ ออโต ริวโนะสุเกะเกิดที่นั่น โตที่นั่น
อันที่จริงริวโนะสุเกะฝันอยากเป็นนักเขียน
อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะความจำเป็นบางอย่างที่
ทำให้ริวโนะสุเกะต้องเปลี่ยนอาชีพมาเปิดร้านขายขนม
อย่างที่เห็น เขายังไม่ทิ้งงานเขียน แต่ก็ทำได้เพียงเขียนนิยายประโลมโลก
ให้นิตยสารกระจอกๆ เท่านั้น
ริวโนะสุเกะมีความลับอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ เขาแอบหลงรัก ฮิโรมิ
สาวสวยซึ่งเป็นเจ้าของบาร์สาเกที่ตั้งอยู่บนถนนสายที่ ๓ มานาน
แต่ดูเหมือนความสัมพันธ์จะยังไม่คืบหน้าพัฒนาไปไหน
วันหนึ่ง ฮิโรมิ ได้รับการไหว้วานจากเพื่อนเก่าของเธอให้ช่วยดูแล
เด็กชายตัวเล็กๆ น่าสงสารคนหนึ่ง นั่นเป็นภาระที่หนักเกินกว่า
เธอจะรับไหว ว่าแล้วเธอจึงพูดจาหว่านล้อมริวโนะสุเกะ
จนเขายินยอมที่จะรับเด็กชายไปเลี้ยงดูต่อจนได้
หลายชีวิตบนถนนสายที่ ๓ เหล่านี้ นอกจากจะดำเนินชีวิต
ไปตามอย่างที่ทำมาโดยตลอดแล้ว ยังมีภาระ
ให้ต้องคิดอ่านหาหนทางแก้ปัญหากับสมาชิกใหม่
ที่แต่ละคนรับเข้ามาสู่ชีวิตของตน โนริฟูมิจะเยียวยา
ความรู้สึกของมัตสุโกะอย่างไร ความสัมพันธ์ของริวโนะสุเกะ
กับเด็กชายตัวเล็กๆ คนนั้นจะลงเอยอย่างไร
และที่สำคัญก็คือ ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
หลังจากที่หอโตเกียวสูงตระหง่านนั้น สำเร็จเสร็จสิ้น

...
ประกาศ! เราเบื่อการเมืองได้
แต่เบื่อบ้านเมืองไม่ได้
ถ้าจำเป็นต้องเลือกตั้ง
...ขอเลือกพรรคที่เลวน้อยที่สุด
...ไม่สนับสนุนเอางบหลวงไปทิ้งเปล่าหาก Vote no
...หลังจากวันนี้ถึงเลือกตั้งใครเบื่อบ้านนี้ปลดความเป็นเพื่อนได้ทันทีไม่ว่า
...เพราะไม่เป็นกลางกับคนทำลายบ้านเมืองแล้วยังไม่กลับใจสำนึกผิดอยู่แล้ว
ด้วยความเคารพการตัดสินใจทุกท่านค่ะ
รับ-ไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ (แห่งชีวิต)
การใช้ชีวิตในโลก ‘สำเร็จรูป’ เช่นปัจจุบัน หาคนที่สั่งตัดเสื้อผ้าน้อยลงไปทุกที เสื้อผ้าส่วนใหญ่ผลิตเป็นจำนวนมาก ทางเลือกของผู้บริโภคอาจมีเพียงขนาด S, M, L บางโรงงานอาจผลิตขนาด XL แต่โดยรวม คุณต้องทำตัวให้เข้ากับเสื้อผ้า มิใช่ตัดเสื้อผ้าให้เข้ากับคุณ
ชีวิตก็เช่นเสื้อผ้าที่ตัดเพื่อเราโดยเฉพาะ ย่อมสวมใส่ลงตัวกว่าเสื้อผ้าโหล
คนจำนวนมากใช้ชีวิตแบบสำเร็จรูป อาจเพราะคิดว่าไม่มีทางเลือก หรือไม่รู้ว่าตนเองสามารถมีทางเลือก
อาจเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ที่จะรู้ว่า ชีวิตจะถูกกำหนดมาก่อนหรือไม่ ประโยชน์น่าจะมีมากกว่าแน่หากคุณเลือกกำหนดชีวิตของคุณเอง
ใช่! คุณมีสิทธิ์และสามารถเลือกทางที่คุณต้องการเดินได้
หากคุณไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต ไม่รู้ว่าตัวเองมีความฝันอะไร อาจเริ่มจากการร่างสิ่งที่ตัวเองคิดอย่างคร่าวๆ ก่อน
กระบวนการนี้เรียกว่า ‘การร่างรัฐธรรมนูญแห่งชีวิต’
วิธีร่างรัฐธรรมนูญแห่งชีวิตฉบับนี้ไม่ยาก ทำตามใจของคุณเอง เพียงแต่ใช้ปัญญากลั่นกรอง
โดยทั่วไป รัฐธรรมนูญแห่งชีวิตที่ดีมักจะประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน เช่น อิสรภาพ เสรีภาพ ความสุข ความฝัน แต่คุณสามารถร่างตามใจคุณได้ รัฐธรรมนูญของแต่ละชีวิตไม่มีถูกหรือผิด ฉลาดหรือโง่
เมื่อร่างรัฐธรรมนูญแห่งชีวิตเสร็จแล้ว ก็ถึงขั้นตรวจทาน โดยใช้ปัญญาและหัวใจพิจารณา แล้วลงมติว่าจะ ‘รับ’ หรือ ‘ไม่รับ’
ไม่รับ :
ไม่รับชีวิตที่เป็นทาส
ไม่รับการใช้ชีวิตที่ไร้ความรู้
ไม่รับการใช้ชีวิตที่ไร้ความรัก ความเมตตา
ไม่รับการใช้ชีวิตที่อิจฉาริษยาคนอื่น
ไม่รับการใช้ชีวิตที่ไร้ความฝัน
ไม่รับการใช้ชีวิตที่คดโกง
ไม่รับการใช้ชีวิตที่ต้องพึ่งพึงคนอื่น
ไม่รับการใช้ชีวิตที่ต้องพึ่งโหราศาสตร์
ไม่รับการใช้ชีวิตที่ไร้ความงาม
ไม่รับการใช้ชีวิตที่เดินตามวิถีที่คนอื่นกำหนดให้เดิน
ไม่รับการใช้ชีวิตที่มีแต่การบ่น
ไม่รับชีวิตที่สมาคมกับคนพาล
ไม่รับชีวิตที่อยู่แต่ในกรอบ
ไม่รับอบายมุข
ไม่รับชีวิตที่เกียจคร้าน
ไม่รับชีวิตที่จมอยู่แต่ในอดีต
ไม่รับชีวิตที่คิดแต่เรื่องที่ยังมาไม่ถึง
รับ :
รับสิ่งดีๆ เข้ามาในหัวใจ
รับการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์
รับชีวิตที่มีอารมณ์ขัน
รับรอยยิ้ม
รับเสียงดนตรี
รับการพูดจาอย่างสุภาพ อ่อนโยน
รับการมีมารยาทที่ดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง
รับชีวิตที่มีเพื่อนดี
รับชีวิตที่มีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และไม่มีวันหยุดเรียน
รับชีวิตที่เปิดหู เปิดตา เปิดสมอง เปิดใจ
รับชีวิตที่ไม่มีวันใดเหมือนกันเลย
รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแห่งชีวิตขึ้นอยู่กับคุณเอง ชีวิตจะสวยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคุณกำหนดเอง เพราะชีวิตนี้ - เกมนี้ เป็นของคุณ และเพราะชีวิตมิได้มีเพียงขนาด S, M, L
วินทร์ เลียววาริณ
www.winbookclub.com
๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๐ คมคำคนคม
Man is the artificer of his own happiness.
มนุษย์เป็นผู้สลักเสลาความสุขของเขาเอง
Henry David Thoreau
เฮ็นรี เดวิด โธโร
(๑๘๑๗ - ๑๘๖๒)

 |
| วันนี้ ๘.00-๑๕.00 น. |